วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

ความสัมพันธ์ระหว่างคัมภีร์ อัล กุรอาน กับทายาทท่านศาสดา 2




                                               


 เป็นไปได้ที่จะเข้าใจคัมภีร์อัลกุรอานและอธิบายความรู้ที่บรรจุอยู่โดยการเพียงอ้างถึงคำพูดของบุคคลที่ความรู้ของพวกเขาได้รับจากพระเจ้าโดยตรงหรืออย่างน้อยที่สุดความรู้ของบุคคลเหล่านั้นได้รับมาจากคำแนะน่าจากแหล่งกำเนิดพิเศษ บรรดาบุคคลอย่างที่กล่าวสามารถเป็นได้เพียงอิมามผู้บริสุทธิ้ (มะอ์ซูม) แห่งลูกหลานท่านศาสดาอิบนิฮาณัรยังได้บันทึกคำพูดของท่านศาสดาไว้ว่า

"จงอย่าพยายามล้ำหน้าไปกว่าความไว้วางใจ 2 ประการนี้ (คัมภีร์ของพระเจ้ากับลูกหลานท่านศาสดา) เนื่องจากจะน่าพวกท่านไปสู่ความหายนะและอย่ายึดมั่นพวกเขาตากว่าที่คาดหวังไว้ เนื่องจากสิ่งนั้นเซ่นกันที่พวกท่านจะถูกโอบล้อมไว้ด้วยความพินาศ อย่าจินตนาการว่าสมาชิกครอบครัวท่านศาสดานั้นเขลา เพราะพวกเขามี บาร์โหนติดประตู ความรู้อันไม่จำกัดมากกว่าพวกท่านและเข้าใจภาษาการวิวรณ์ได้เป็นอย่างดี,,

ท่านอะลี ผู้น่าแห่งศรัทธาซนกล่าวว่า"พวกท่านจะไม่มืทางคงความซื่อสัตย์ต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับคัมภีร์อัลกุรอาน ยกเว้นพวกท่านจะรู้จักผู้ที่ทรยศต่อข้อตกลงของเขา และพวกท่านจะไม่มีทางสร้างความยึดเหนี่ยวอย่างมั่นคงต่อคัมภีร์อัลกุรอานยกเว้นพวกท่านจะรู้จักผู้ที่ละทิ้งมัน จงเลือกหนทางที่เที่ยงตรงแห่งความชื่อสัตย์ และวิธีการที่จะยึดมั่นคัมภีร์อัลกุรอานจากผู้คนแห่งอัลกุรอาน เนื่องด้วยพวกเขาเป็นผู้ทำให้ความรู้และการศึกษามีชีวิตชีวาและขจัดความเขลาให้สิ้นไป พวกเขาคือผู้ที่พวกท่านได้ตระหนักในความรู้ที่พวกเขาครอบครองด้วยวิถีทางแห่งการเชื่อฟังบุคคลเหล่านี้พวกท่านเข้าใจการนิ่งของพวกเขาจากคำพูดของบุคคล เหล่านี้ และเข้าใจการแสดงออกภายนอกจากสภาวะภายในของพวกเขาพวกเขาไม่เคยขัดขืนต่อบทบัญญ้ติศาสนาและไม่เคยตกเข้าไปในการโต้เถียงศาสนาคือพยานที่เงียบสงบและซิ่อสัตย,ซึ่งพำนักอยู่ท่ามกลางพวกเขา"ความหมาย ณ ที่นี้ก็คือ โหนบาร์เพิ่มกล้าม ลูกหลานของท่านศาสดาปลอดจากบาป สิ่งสกปรกโสมมและแม้แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งใดก็ตามที่สัมพันธ์อย่างสนิทแนบกับคัมภีร์อัล กุรอาน จนกระทั่งความเชื่อถือของทั้งสองถูกน่ามาพร้อมกันต่อหน้าท่านศาสดา ณ วันตัดสินพิพากษาแล้ว มนุษยชาติก็จะต้องปฏิปติตามและเชื่อฟังพร้อมกับคัมภีร์อัลกุรอานเองเซ่นเดียวกัน พระเจ้าไม่สามารถสิ่งให้มนุษย์เชื่อฟังผู้ที,สกปรกโสมมไปด้วยความผิดพลาดและบาปหรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอัลกุรอานกับบุคคลประ๓ทดังกล่าว ผู้ที่อยู,เหนือการครอบงำของความสกปรกโสมมอย่างสมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถวางเรียงชิดกับคัมภีร์อัลกุรอานได้สำหรับบุคคลที่พระเจ้าทรงทำให้คำสิ่งของพวกเขาต้องได้รับการเชื่อฟังนั้นจะต้องปราศจากข้อบกพร่องทั้งมวลท่านศาสดากล่าวถึงจำนวนผู้สืบทอด (คุลาพำอ์) ที่จะมาหลังจากท่านโดยไม่มีความขัดแย้งกับคำพูดอื่นๆ ของท่าน" บาร์โหนติดผนัง ศาสนานี้จะยังคงยืนยงจนถึงวันตัดสินพิพากษาตราบเท่าที่บุคคล 12คนจากเผ่ากุเรชปกครองเหนือพวกท่านในฐานะผู้สืบทอดของฉัน"

"ผู้สืบทอดของฉันจะมีจำนวน 12 คน เหมือนกับหัวหน้าของพวกลูกหลานอิสรออีล และ (ตามสำนวนหนึ่งของวจนะนี้) มา'จากเผ่ากุเร'ช" (72)อับดุลลอฮ์รายงานว่าท่านศาสดาได้กล่าวว่า "ตราบเท่าที่ยังมีคนสองคนหลงเหลืออยู่บนโลก ตำแหน่งผู้น่าจะยังคงอยู่ในหมู่เผ่ากุเรช"(73)การกล่าวถึงผู้สืบทอด 12 คนนี้สามารถอ้างถึงแต่เฉพาะอิมามผู้ไร้ความผิดบาปจากทายาทของท่านศาสดาเท่านั้น เนื่องจากทั้งคอลีพํะฮ์ยุคแรก ผู้ปกครองวงคัอุมัยยะฮ์และอับบาสิยะฮ์ต่างไม่มีจำนวน 12 คน ที่สำคัญ  ยิ่งกว่าก็คืออาชญากรรมที่ผู้ปกครองเหล่านั้นกระทำอันนำมาซึ่งการบ่อนทำลายศาสนานั้นห่างไกลจากการประกันสวัสดีภาพและความผาสุกของประซาชาติอิสลามเสียเหลือเกิน ขายบาร์โหนราคาถูก  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพิจารณาพวกเขาเป็นผู้สืบทอดของท่านศาสดาไม่ว่าในวิถีทางใดบรรดาผู้ที่ไม่อาจปฏิเสธความน่าเชื่อถือของวจนะเกี่ยวกับผู้สืบทอด12 คน แต่ถึงกระนั้นต้องการหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับอิมาม 12 คนจากทายาทของท่านศาสดา จึงจำเป็นต้องนำเสนอการอธิบายที่บิดเบี้ยวไป ซึ่งไม่อาจเข้ากันได้กับตัวบทและเนื้อหาสาระของวจนะได้อย่างสิ้นเซิง เนื่องจากแรงงานไทยเมือรวมจำนวนคอลีฟะฮ์ยุคแรก ผู้ปกครอง1วงด้อุมัยยะฮ์และอับบาสิยะฮ์เข้าด้วยกันจะมีถึงกว่า 30 คน ดังนั้นจำนวนของผู้ที่อ้างว่าเป็นคอลีฟะฮ์จากเผ่ากุเรซจึงมีจำนวนเกินกว่าที่ระบุในวจนะ ถ้าปฏิเสธที่จะอธิบายวจนะว่าอ้างอิงถึงอิมามของซีอะฮ์เราก็จะปราศจากความหมายที่ซัดเจนและมีเหตุผลเกี่ยวกับวจนะนี้ทั้งหมดเซคสุลัยมาน อัลกุนดูซี นักวิชาการในสำนักคิดฮานาพิได้เขียนไว้อย่างไม่มีร่องรอยของความคลั่งไคล้ดังต่อไปนื้"ตามทัศนะของนักวิชาการ วจนะที่ระบุจำนวนผู้สีบทอดของท่านศาสดาว่ามี 12 คนนั้นเป็นที่รู้จักกันดี และได้รับการรายงานจากสายรายงานต่างๆกัน ทำให้ซัดเจนจากระยะเวลาที่ผ่านมาว่า สิงที่ท่านศาสดาอ้างถึงใน'วจนะนี้คืออิมาม 12 คนจากทายาทของท่านเป็นไปไม่ได้ที่จะอ้างถึงคอลีฟะฮ์ในยุคแรกเนื่อง1จากมีเพียง 4 คน และไม่สามารถอ้างถึงผู้ปกครองในวงดัอุมัยยะฮ์เนื่องจากมีมากกว่า 12 คน นอกจากนั้นผู้ปกครองทั้งหมดยกเว้นอุมัร บุตรอับดุลอะซีซล้วนเป็นผู้อธรรมและผู้กดขี่ รวมทั้งมิได้เป็นสมาชิกในตระกูลบนีฮาชิม ขณะที่ท่านศาสดาระบุว่าผู้สืบทอด  คนของท่านจะต้องมาจากตระกูลบนีฮาชิม ญาบิร บุตรละมูเราะฮ์รายงานว่าท่านศาสดากล่าวถึงช่วงท้ายของวจนะนี้ด้วยความแผ่วเบา เนื่องจากไม่ทุกคนที่ชื่นชอบที่ตำแหน่งคอลีฟะฮ์ไปสู่ตระกูลบนีฮาชิม"ในกรณีเท่าเทียมกัน

วจนะนี้ไม่สามารถใช้กับวงฬอับบาสิยะฮ์ใด้เพราะพวกเขามีจำนวนมากกว่า  คนเช่นกัน จึงไม่อาจได้รับการปฏิบ้ติไปตามโองการที่กำชับให้มีความรักต่อครอบครัวซองท่านศาสดาได้และพวกเขาละเลยวจนะผ้าคลุม (ฮะดีษกิสาอ์) ดังนั้นวจนะจึงต้องอ้างถึงอิมาม คนจากทายาทของท่านศาสดาโดยเฉพาะ เนื่องจากพวกเขามีความรู้ จริยธรรม ความเคร่งครัดและเชื้อสายเหนือกว่าผู้อื่นทั้งหมด พวกเขาคือสายธารที่ได้รับมรดกทางความรู้มาจากท่านคาสนทูตแห่งพระเจ้า บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา สิ่งนี้ยืนยันโดยวจนะเกี่ยวกับสิ่งสำคัญสองสิ่งและวจนะจำนวนมากจากท่านศาสดามาถึงเรา






                                                    
บาร์โหน